ส.อ.ท. แนะ รัฐบาลลดพึ่งส่งออกจาก 70% เหลือ 50% พร้อมพึ่งเศรษบกิจในประเทศแทน หลังเศรษฐกิจโลกซึมยาว
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ประเทศไทยควรต้องพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น
ทั้งการลงทุนจากภาครัฐ เอกชน การท่องเที่ยว และการใช้จ่ายในภาคครัวเรือน
และต้องลดสัดส่วนการพึ่งภาคส่งออกให้เหลือ 50 % จากปัจจุบันอยู่ที่ 70
%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)
เพื่อดูแลเศรษฐกิจไทยให้มีความมั่นคงมากขึ้น
เนื่องจากเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน
และระยะต่อไปมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับความมั่นคงเศรษฐกิจไทย
"ตอนนี้ฐานะการ
เงินเราดีมากมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า 157,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
หนี้สาธารณะเหลือไม่ถึง 40% ของจีดีพี
เปรียบประเทศเป็นบริษัทตอนนี้เรายังมีเงิน
แต่ขายของไม่ได้เราต้องเลี้ยงพนักงานไว้เมื่อเศรษฐกิจมา
ก็จะไปได้เองแต่ไม่ใช่ไปเรียกเก็บภาษีนั่นนี่ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่นั่นคือทำ
อย่างไรให้เศรษฐกิจข้างในขับเคลื่อนเพราะเวลานี้คือสินค้าเกษตรตกต่ำ
รายได้เกษตรกรลดลงมากคนกลุ่มนี้ไม่มีเงินจับจ่ายแล้วก็กระทบไปยังเอสเอ็มอี
ต่อเนื่อง”
สำหรับนโยบายนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ มีความชัดเจนที่จะเข้ามาดูแลภาคการเกษตรและ
เอสเอ็มอี เช่น มีกไลไกจากเงินกองทุนหมู่บ้านเข้ามาดำเนินการ
รวมทั้งโครงสร้างภาษีเอสเอ็มอีที่ส.อ.ท.ได้เสนอไปแล้ว
ขณะที่การลงทุนก็กำลังปรับปรุงมาตรการจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการ
ลงทุน(บีโอไอ)ให้ดียิ่งขึ้นหากดำเนินการทั้งหมด
เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะค่อยๆ ฟื้นตัวและจะต่อเนื่องไปถึงปี 59
อย่างไร
ก็ตามคาดว่า ครม.จะเริ่มทยอยออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจภายในประเทศออกมา
ซึ่งหลายคนอาจมองว่า บางมาตรการจะเข้าข่ายประชานิยม ส.อ.ท.ยืนยันว่า
ไม่ได้เห็นด้วยกับประชานิยม แต่จำเป็นจะต้องค่อยๆ
เลิกและปรับใหม่เพราะไทยเสพติดมานานโดยเฉพาะภาคเกษตรที่มั้งระบบประกัน
และจำนำ โดยต้องแบ่งโซนเพาะปลูกหากอยู่นอกโซนก็ไม่ดูแลแล้วค่อย ๆ
เพิ่มผลผลิตต่อไร่ก็จะทำให้สามารถคาดการณ์ผลผลิตแต่ละชนิดพอที่รัฐจะประเมิน
เงินช่วยเหลือดูแลช่วงสินค้าตกต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยขณะนี้สินค้า
เกษตรหลักที่รัฐต้องเข้ามาดูคือ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลังและอ้อย