ผู้สนับสนุน



ไทยพาณิชย์ คาด ศก.ปีนี้ โต 2.0-2.5% รับผลกระทบจีนชะลอลงทุน


ศูนย์วิจัยฯ ไทยพาณิชย์ ชี้ศก.ขยายตัวค่อนข้างน้อย คาด จีดีพี ปี 58 โต 2.0-2.5% ก่อน ขยับเป็น 2.5-3.0% ในปี 59 เผยส่งออก รับผลกระทบ จากการชะลอตัวลงทุนของจีน พร้อมเฝ้าระวังเงินทุนเคลื่อนย้าย หากเฟดขึ้นดอกเบี้ย...
เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 58 นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 58 จะขยายตัวได้ 2.0-2.5% ก่อนมาขยายตัว 2.5-3.0% ในปี 2559 ซึ่งเป็นการปรับลดประมาณการลงจากเดิมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ค่อน ข้างน้อย เนื่องจากภาคการส่งออกได้รับผลกระทบโดยตรงจากการชะลอตัวลงของการลงทุนในภาค อุตสาหกรรมและภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ทำให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง รวมถึงทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไทยส่งออกยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัว
นอกจากนี้ การส่งออกไปยังประเทศแถบอาเซียนก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากหลายประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปจีนมีเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและค่า เงินที่อ่อนค่า ภาวะดังกล่าว ทำให้ครัวเรือนในภาคเกษตรและธุรกิจขนาดเล็กประสบปัญหาด้านรายได้ และยังทำให้ภาคธุรกิจโดยรวมชะลอการลงทุนออกไปเพราะขาดความเชื่อมั่น
ทั้งนี้ การชะลอตัวลงของจีนเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะส่งผลกระทบต่อ เศรษฐกิจไทยไปอีกหลายปี โดยแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในปี 2559 มาจากการดำเนินนโยบายของภาครัฐและภาคการท่องเที่ยว อุปสรรคในภาคการส่งออกทำให้ภาครัฐจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น สำหรับปี 2559 การใช้จ่ายในประเทศน่าจะได้รับจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการรายเล็กที่ เริ่มต้นในเดือนกันยายน 2558 ในด้านงบประมาณ รัฐบาลมีแผนดำเนินนโยบายการคลังที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 3.9 แสนล้านบาท จากเดิม 2.5 แสนล้านบาท โดยงบประมาณลงทุนในปีงบประมาณ 2559 จะเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ การเร่งสร้างความเชื่อมั่นและกำหนดทิศทางการส่งเสริมการลงทุนให้เหมาะสมกับ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งในและนอกประเทศจะเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับการ ลงทุนภาคเอกชนในระยะต่อไป นอกเหนือจากการดำเนินนโยบายของภาครัฐแล้ว ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของไทยอีกครั้งในปี 2559 เพราะนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศน่าจะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 10% และในส่วนของนักท่องเที่ยวจากจีนก็ไม่ได้ชะลอลงตามเศรษฐกิจ
สำหรับปัจจัยเสี่ยงในเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้ายเป็นสิ่งที่ยังต้องเฝ้า ระวังในระยะต่อไป คือ การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกใน รอบเกือบ 10 ปี ของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมถึงเกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้บางประเทศในแถบอาเซียนมีค่าเงินที่อ่อนค่าลงอย่างมากและยังต้องสูญ เสียเงินสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นความเสี่ยงของการเกิดวิกฤติการเงินและวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นอีกครั้ง ดังนั้น ธุรกิจไทยจึงควรเฝ้าติดตามสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงของคู่ค้า
สำหรับไทย SCB EIC ประเมินว่า การไหลออกของเงินทุนและการอ่อนค่าของเงินบาทจะไม่รุนแรง และไม่เป็นอุปสรรคต่อการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ผู้สนับสนุน