ผู้สนับสนุน



โบรกฯชี้นักลงทุนต่างชาติยังเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย

ปริญญ์ พานิชภักดิ์,บล.ซีแอลเอสเอ,ตลาดหุ้น,สุกิจ อุดมศิริกุล
 "ปริญญ์" เผย นักลงทุนต่างชาติยังเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย พร้อมจับตามาตรการกระตุ้นศก. ด้าน "สุกิจ" คาดหุ้นไทยสิ้นปีแกว่ง 1,300-1,450 จุด

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติบางส่วนยังกังวลปัจจัยภายนอกทั้งผลการประชุมของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และเศรษฐกิจของประเทศจีน ซึ่งจะส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ มองว่าเฟดยังคงไม่กล้าเสี่ยงที่จะขึ้นดอกเบี้ยทันทีขณะนี้ เพราะภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานสหรัฐจะปรับตัวดีขึ้น

ด้านปัจจัยในประเทศ มองว่านักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนระยะยาวยังคงมั่นใจพื้นฐานเศรษฐกิจไทยและ จับตาผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลที่มุ่งช่วยเหลือผู้มี รายได้น้อยและเอสเอ็มอี รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานตลอดจนการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน โดยมองจังหวะเข้าซื้อหุ้นในช่วงตลาดผันผวนระยะสั้นและยังปรับลดลงอีกให้กรอบ ดัชนี 1,400 จุด โดยกลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ ได้แก่ ก่อสร้าง การบริโภคในประเทศ และธนาคารพาณิชย์

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจากการประชุมสัปดาห์หน้า ซึ่งจะส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับตัวลดลง แต่ในแง่บวกจะเป็นการสร้างความชัดเจนภาคการลงทุนมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้นักลงทุนในตลาดทุนทั่วโลกเกิดความไม่มั่นใจและชะลอการ ตัดสินใจลงทุน เพื่อรอแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม หากเฟดไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกยัง ไม่แน่นอนต่อไป นอกจากนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุน คือ ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ยังอ่อนแอ ซึ่งต้องจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนว่าจะมีการออกมาตราการ เพิ่มหรือไม่

สำหรับตลาดหุ้นในประเทศถือว่าสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น จากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยปลายปีนี้จะมีกรอบอยู่ที่ 1,300-1,450 จุด หุ้นกลุ่มที่มีความน่าสนใจในช่วงนี้เริ่มมีราคาเหมาะสมต่อการลงทุนระยะยาว เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี ส่วนหุ้นที่เหมาะลงทุนระยะสั้นโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มไอซีทีที่ได้ประโยชน์จาก การประมูล 4 จี กลุ่มส่งออก ที่ได้รับอานิสงส์จากเงินบาทที่อ่อนค่า กลุ่มก่อสร้างได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ส่วนกลุ่มที่ยังไม่น่าลงทุน คือ กลุ่มพลังงาน เนื่องจากราคาพลังงานยังคงผันผวน

ผู้สนับสนุน